วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

OnTheWay Magazine นิตยสาร...ที่ให้อะไรมากกว่าที่เราคิด

เทอมนี้ได้มีโอกาสทำนิตยสารหนึ่งเล่มค่ะ ตอนแรกก็คิดว่ามันก็คงจะหนักหนาเอาการอยู่ ยิ่งโดนจับกลุ่มโดยการจับฉลากยิ่งแล้วใหญ่ จะไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ แต่ก็ยังโชคดีค่ะ ที่ได้อยู่กับลีนาคนสนิท ในแก๊งเหล่าชายโฉด ไม่งั้นเหงาตายเลย ^^



บทบาทหน้าที่ที่ได้รับ
โดยหน้าที่จริงๆแล้ว เรามีหน้าที่ฝ่ายกราฟิคค่ะ แต่ก็มีอย่างอื่นให้ทำเยอะแยะเต็มไปหมด

อย่างแรกเลยก็คือ จัดรูปแบบทั้งเล่ม ด้วยความเป็นฝ่ายกราฟิค แน่นอนว่าหน้าที่นี้ต้องตกเป็นของเราอยู่แล้ว ถามว่าหนักมั้ย บอกเลยว่าหนักมากกกกกกกกก เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สุดๆ จะออกแบบยังไงให้แต่ละหน้าไม่เหมือนกัน ออกแบบยังไงให้น่าสนใจ ต้องใช้ฟอนต์ไหนถึงจะสวย เอารูปไหนไว้ตรงไหนถึงจะโอเค แล้วยิ่งมาหนักตอนโดนเพื่อนบอกให้เปลี่ยนนู้นเปลี่ยนนี่ มันกระจุกกระจิกมาก เดี๋ยวก็ฟอนต์นี่ไม่เข้า รูปนี้ไม่ดี การเว้นวรรคไม่เท่ากัน รูปใหญ่ไปเล็กไป สีนี้ไม่โอเค ทำให้ต้องแก้อยู่หลายรอบ ทำให้ได้รู้ว่ามุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าดีแล้ว มันอาจจะไม่ดีในสายตาคนอื่นก็ได้ แต่ก็แก้ไขจนออกมาเป็นรูปเล่มที่เสร็จสมบูรณ์ได้ และนี่คือตัวอย่างการจัดหน้าค่ะ



งานหลักๆ อย่างที่สองก็คือการทำ AR ค่ะ นำวิดีโอมาใส่ในนิตยสาร เพื่อทำให้นิตยสารเราเป็นมากกว่านิตยสาร โดยได้จัดทำไปทั้งหมด 9 QR Code ค่ะ มีกระจายอยู่ทั่วทั้งเล่ม เพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับบรรยากาศจริงๆในการเดินทาง ไม่ใช่เพียงแค่รูปภาพแบบนิตยสารทั่วๆไป สำหรับใครที่ได้อ่านนิตยสารของเรา อย่าลืมโหลดแอพพลิเคชั่น Junaio แล้วมาส่องเพื่อดูคลิปวิดีโอกันนะคะ และนี่คือตัวอย่างการใส่ QR Code ลงในนิตยสารค่ะ 




อย่างที่สาม ได้มีโอกาศได้เป็นนักเขียน ได้เขียนคอลัมน์เหมือนคนอื่นเขาด้วยค่ะ โดยในนิตยสารเล่มนี้ เขียนไปทั้งหมด 4 คอลัมน์ ก็คือ 1. คอลัมน์  slow life 2. คอลัมน์ ใครไม่สน...สวนสน 3. คอลัมน์ ช็อป ชิม ชิล "ตลาดนัดรถไฟ รัชดา" 4. คอลัมน์ วัดถ้ำเขาประทุน สถานที่แห่งความสงบ และนี่คือตัวอย่างคอลัมน์ที่เขียนค่ะ



และยังได้มีโอกาสร่วมเขียนดัมมี่และตรวจพรูฟกับเพื่อนด้วยค่ะ ในส่วนของดัมมี่นั้นต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่สามารถกำหนดจำนวนหน้าที่แน่นอนได้ ด้วยความที่เพื่อนอยากเขียนเนื้อหาเยอะหรือน้อย หรือมีรูปสวยๆเยอะ จึงต้องมีการอัปเดตดัมมี่อยู่ตลอดเวลา และเราเป็นฝ่ายการฟิคจะรู้ดีสุดว่าเราจัดไปถึงหน้าไหนแล้วมีเนื้อหาอะไรบ้าง  และในส่วนของการตรวจพรูฟ กลุ่มของเราได้ปริ๊นออกมาตรวจสองรอบเพื่อความรอบครอบ เพราะการที่ปริ๊นออกมาจะตรวจคำผิด คำตกหล่น หรือการเว้นวรรคได้ง่ายกว่า และเราจัดหน้าในคอมพิวเตอร์กับดูในกระดาษมันไม่เหมือนกัน ดูในคอมว่าสวยแล้ว เมื่อปริ๊นออกมามันก็ยังไม่สวยเหมือนอย่างที่เราคิด




ขั้นตอนการทำงาน

- ประชุมวางแผนงานถกเถียงกันอย่างหนัก ได้ความว่าเราจะทำนิตยสารท่องเที่ยว ที่ชื่อว่า OnTheWay (ออน เดอะ เวย์) กลุ่มเป้าหมายเป็น นิสิตและนักศึกษาทั่วไป เน้นวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงปิดเทอม เพราะนิตยสารเราจะออกวางแผงในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเกือบจะปิดเทอมพอดี



- คิดหาคอนเซปต์หลักของนิตยสารเรา โดยตอนแรกได้แรงบันดาลใจมาจาก ตอนไปดูงานที่ อ.ส.ท. เป็น คอนเซปต์ Slow Life แต่เนื่องจากมันเป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือ ก็เลยเปลี่ยนเป็น CHILLIN’ JOURNEY แทน เพราะเราต้องการจะนำเสนอการเดินทางออกไปท่องเที่ยงแบบชิวๆ เหมาะสำหรับวัยรุ่น

- จัดทำดัมมี่มาเสนออาจารย์ เพื่อกำหนดคอลัมน์ของแต่ละคนว่าจะเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับอะไรบ้าง และเขียนจำนวนกี่หน้า


- เริ่มเขียนคอลัมน์ของแต่ละคน ออกเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ตามความสนใจ


- ออกทริปรวม เพื่อนำมาเขียนเป็นคอลัมน์หลัก โดยเราเลือกไปที่จังหวัดนครราชสีมา เพราะจังหวัดนครราชสีมากหรือโคราชนั้นเป็นจังหวัดใหญ่ มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ และเป็นบ้านของเพื่อนในกลุ่ม เป็นการประหยัดงบประมาณไปในตัวอีกด้วย


- นักเขียนเขียนคอลัมน์หลัก ช่างภาพแต่งภาพที่ไปถ่ายมา กราฟิคเริ่มจัดรูปเล่มในโปรแกรม 
Adobe InDesign วางเลเอาท์ จัดข้อความ ออกแบบปก สันปก ให้สวยงาม

- ตรวจพรูฟด้วยการปริ๊นงานออกมา ตรวจคำผิด การจัดวาง การใช้ฟอนต์ การเรียงลำดับรูป เมื่อเสร็จแล้ว
ก็นำไปแก้ไขในโปรแกรม และปริ๊นออกมาตรวจอีกรอบ

- ตัดต่อคลิปวิดีโอทั้งหมด 9 คลิป 9 สถานที่ เพื่อนำมาทำ AR เมื่อเสร็จแล้วก็ทำ AR ในโปรแกรม
Creator เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับนิตยสารมากยิ่งขึ้นค่ะ

- ตรวจทุกอย่างให้เรียบร้อยอีกรอบ แล้วจึงส่งให้โรงพิมพ์ไปจัดการต่อไปค่ะ


สิ่งที่ได้เรียนรู้ (ด้านความรู้)

- การตั้งจุดมุ่งหมาย และทำตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
- ได้เรียนรู้การจัดหน้าหนังสือโปรแกรม Adobe InDesign จากที่เคยใช้ไม่เป็น จนตอนนี้ใช้คล่องแล้วค่ะ 
- ได้เรียนรู้งานเขียน การเขียนคอลัมน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าจะกลั่นได้ออกมาแต่ละตัวอักษร
 ต้องลบแล้วลบอีก
- ได้เรียนรู้หลักการออกแบบหน้านิตยสารให้มีความน่าสนใจ และสื่อสารได้ตรงตามความต้องการของเรา
- ได้เรียนรู้การกระบวนการทำงานในกองบรรณาธิการ ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง และมีขั้นตอนอย่างไร
- มีความคิดสร้างสรรค์ ในการออกแบบหลายๆ อย่าง

สิ่งที่ได้เรียนรู้ (ด้านการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม)

- ความใจเย็น เรื่องนี้สำคัญมากๆ เพราะสำหรับบางคน ต่อให้เร่งเขาขนาดไหน เขาก็ไม่ทัน เพราะฉนั้นเราจะต้องใจเย็นและทำได้แค่รอเท่านั้น
- การตามงาน การจะทำงานใหญ่ มันควรที่จะทยอยๆ ทำเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ามาอัดทำตอนสุดท้ายอย่างเดียว  คนเป็นหัวหน้าก็ต้องคอยถามหาความคืบหน้าอยู่ตลอดด้วย
- การนอนดึก การทำนิตยสารหนึ่งเล่ม ทำให้สกิลในการโต้รุ่งอัพขึ้นสูงมาก
- การประสานงาน ได้เรียนรู้แล้วว่า การที่เรามาเจอกันตัวต่อตัว ได้คุยกันตรงๆ นั้น มันดีกว่าการคุยกันผ่านตัวอักษรมาก
- การได้เห็นข้อดีของเพื่อน การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทำให้เพื่อนบางคนดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้ให้เราเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนและค่อนข้างประทับใจมาก
- การประณีประนอม เราจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพราะทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง
- การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เราจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะบางสิ่งที่เราเห็นว่าดีในสายตาเรา อาจจะไม่ได้ดีในสายตาคนอื่นก็ได้
- ความรับผิดชอบ ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของเราให้ออกมาดีที่สุด
- ความมีน้ำใจ เมื่อทำหน้าที่ของเราเสร็จแล้ว ก็ควรจะช่วยเหลือเพื่อนที่ยังมีปัญหาอยู่ด้วย
- ความมุ่งมันในการทำงาน ถ้าเรามีความมุ่งมั่นแล้ว ต่อให้อุปสรรคจะมากมายขนาดไหนเราก็จะผ่านมันไปได้
- ความใส่ใจในการทำงาน ถึงแม้จะเป็นจุดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เราก็เต็มใจที่จะแก้ไขมัน

ขอบอกเลยว่านี่เป็นการทำนิตยสารอย่างจริงจังครั้งแรกของเรา มีอะไรให้เราเรียนรู้มากมาย แม้มันจะเหนื่อยและท้อขนาดไหน แต่เราก็สนุกไปกับการทำสิ่งที่แปลกใหม่ และกำลังใจจากเพื่อนๆ ที่คอยมีให้กันเสมอ ขอบคุณเพื่อนในกลุ่มทุกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันอย่างยาวนาน ตอนนี้นิตยสารของเราก็ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว อยากบอกว่าภูมิใจมากกกกกก จนสามารถทำให้เราอารมณ์ดีไปทั้งวันได้เลย สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ที่สนใจอ่าน OnTheWay Magazine ติดตามได้ทาง E-Book นะคะ  ^^


ลิ้งค์ E-Book ค่ะ >>> http://online.flipbuilder.com/zhih/rfvp/#p=68





วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ครั้งที่3

ช่วงนี้ก็กำลังพยายามวาดเรื่อยๆนะคะ แต่ว่ายุ่งมากกกกกกกกกก

อันนี้เป็นตัวละครทั้งหมดนะคะ
ส่วนนี้เป็นตัวอย่างการเอาสัตว์ต่างๆ มาประกอบกับฉากค่ะ

ส่วนนี้เป็นตอนนี้ที่วันเลือกตั้งก็ไม่มีใครสนใจค่ะ
ก็จะประมาณนี้นะคะ จะทยอยทำเรื่อยๆ ค่ะ

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

การเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ครั้งที่2

เนื้อหาในแต่ละหน้า
หน้าที่ 1 – 2 : ในป่าใหญ่ที่มีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ สัตว์ทุกตัวกำลังวุ่นอยู่กับงานของตัวเองไม่มีใครสนใจการเลือกตั้งเจ้าป่าที่ใกล้เข้ามาทุกที
หน้าที่ 3 – 4 : ผู้ลงสมัครเป็นเจ้าป่ามีอยู่สองตัวก็คือ สิงโตผู้น่าเกรงขาม และเสือดาวเจ้าเล่ห์ที่ชอบแกล้งสัตว์ตัวอื่นๆ อยู่เป็นประจำ
หน้าที่ 5 – 6 : จนเมื่อวันเลือกตั้งมาถึงสัตว์ทุกตัวก็ยังวุ่นอยู่กับงานเหมือนเดิม ไม่มีสัตว์ตัวใดมาเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งต้องถูกยกเลิกไป
หน้าที่ 7 – 8 : เจ้าเสือดาวเจ้าเล่ห์จึงถือตนเองเป็นผู้ปกครองป่าผืนนี้ เจ้าเสือดาวได้ใช้อำนาจของตนเองกดขี่ข่มเหงรังแกสัตว์ตัวอื่นไปทั่ว
หน้าที่ 9 – 10 : เจ้าลิงถูกแย่งกล้วยไป จึงร้อง เจี๊ยก เจี๊ยก เจ้านกถูกทำลายรัง จึงร้อง จิ๊บ จิ๊บ
หน้าที่ 11 – 12 :  เจ้าช้างถูกกัดที่ขา จึงร้อง แปร๋น แปร๋น เจ้าม้าถูกทำลายทุ่งหญ้า จึงร้อง ฮี่ ฮี่ 
หน้าที่ 13 – 14 : จนสัตว์ทุกตัวในป่าทนไม่ไหว จึงรวมตัวกันขอร้องให้มีการเลือกตั้งเจ้าป่าครั้งใหม่
หน้าที่ 15 – 16 : เมื่อถึงวันเลือกตั้งครั้งนี้ สัตว์ทุกตัวต่างออกมาใช้สิทธ์เลือกตั้งกันอย่างร่วมมือร่วมใจ ทุกตัวพยายามเลือกผู้นำที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเอง
หน้าที่ 17 – 18 : ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นเอกฉันท์ สิงโตผู้น่าเกรงขามถูกเลือกให้เป็นเจ้าป่าที่ทำหน้าที่ปกครองป่าผืนนี้
หน้าที่ 19 – 20 :  เมื่อได้รับเลือก สิงโตจึงดูแลสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นอย่างดี สัตว์ในป่าจึงอยู่รวมกันอย่างมีความสุขตลอดไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกคนควรออกมาใช้สิทธิ์ของตัวเองเ พื่อให้มีผู้นำที่ดี

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

เขื่อนขุนด่านปราการชล


ครั้งนี้เราจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวน่าไปที่นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินชมวิวที่สวยงามกันแล้ว ยังได้รับความรู้อย่างมากมายอีกด้วย และที่นั่นก็คือ เขื่อนขุนด่านปราการชล โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก ที่จังหวัดนครนายกนั่นเองค่ะ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖  เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาวางโครงการ และก่อสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน ที่บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำนครนายกตอนบน เพื่อช่วยให้ราษฎรทางตอนล่างมีน้ำใช้ทำการเกษตร การอุปโภคบริโภค รวมทั้งช่วยบรรเทาอุทกภัยที่มักจะเกิดขึ้นในเขตจังหวัดนครนายกเป็นเป็นประจำทุกปี เพื่อการอุตสาหกรรม และเพื่อการแก้ไขพื้นที่ดินเปรี้ยวอีกด้วย



ตัวเขื่อนประกอบด้วยเขื่อนหลักและเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีตบดอัด ปัจจุบันเป็น เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก มีความยาวรวม 2,593 เมตร ความสูง ( สูงสุด ) 93 เมตร รับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำมีความจุ 224 ล้าน ลบม.

วัตถุประสงค์
๑.  เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุน โดยสามารถจัดสรรน้ำให้พื้นที่ชลประทาน ได้ ๑๘๕,๐๐๐ ไร่ ด้วยโครงการท่าด่านเดิม ๖,๐๐๐ ไร่ โครงการท่าด่านส่วนขยาย ๑๔,๐๐๐ ไร่ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก  ๑๖๕,๐๐๐ ไร่
๒.  เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรม  
๓.  เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในเขตจังหวัดนครนายก
๔.  เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวในเขตจังหวัดนครนายก

การเดินทาง
- รถยนต์ จากกรุงเทพ ฯ ( ทางหลวงหมายเลข 305 หรือ 33) – นครนายก – (น้ำตกนางรองใช้ถนนหมายเลข 3049) – ผ่านอุทยานวังตะไคร้ เลี้ยวขวาเข้าถนนสู่ตัวเขื่อน
- รถโดยสารประจำทาง จากกรุงเทพ ฯ นครนายก มีบริการรถโดยสารประจำทางทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (ถนนกำแพงเพชร 2) ทุกวัน สอบถามได้ที่ โทร .0-2936-3660, 0-2936-3666


ข้อมูลติดต่อ
เขื่อนขุนด่านฯ ตู้ ปณ. 4 ต.หินตั้ง อ.เมือง นครนายก 26000
โทรศัพท์ 0 3738 4208-9 โทรสาร 0 3738 4210



เขื่อนขุนด่านปราการชลถือเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ดีมากอีกที่หนึ่ง เพราะว่าสามารถนำไปบูรณาการกับการเรียนการสอนได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น เรื่องพระราชกรณียกิจของในหลวงในวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องตำแหน่งที่ตั้งและที่มาของน้ำที่ไหลมาในวิชาภูมิศาสตร์ การแก้ปัญหาดินเปรี้ยวและเพราะพันธ์ปลาในวิชาเกษตกรรม การคำนวณปริมาณน้ำในแต่ละปีในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบการกับเก็บน้ำในวิชาวิทยาศาสตร์ และอีกมากมายที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้สอนจะสามารถนำความรู้ในเรื่องต่างๆ ไปปรับใช้ได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ

แน่นอนว่ามาถึงเขื่อนขุนด่านปราการชลทั้งที เรามาลองเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุดกันดีกว่าว่าจะได้ความรู้ในเรื่องใดบ้าง
- หนึ่งในโครงการในพระราชดำริ พระราชกรณียกิจของในหลวงนั้นมีมากมายจนอธิบายไม่หมด นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของโครงการที่ควรศึกษาไว้ค่ะ
- ตำแหน่งที่ตั้ง เขื่อนนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดนครนายก สามารถรับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำในเขื่อน
- การจัดการระบบน้ำ ทั้งในเรื่องของการผันน้ำ การระบายน้ำล้น การระบายน้ำฉุกเฉิน การระบายลำน้ำเดิม การระบายน้ำคลองชลประทาน
- ขนาดและความจุของเขื่อน ว่าเขื่อนนี้รับปริมาณได้มากน้อยแค่ไหน
- เป็นแหล่งน้ำในการทำเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค และบรรเทาอุทกภัยในกับจังหวัดนครนายก
- เป็นสถานที่ตัวอย่างในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา

เมื่อได้ความรู้ไปมากมายแล้ว ก็มาพูดต่อในเรื่องของเจตคติกันว่าได้อะไรมาบ้าง
- พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการก่อสร้างเขื่อนนี้ ในหลวงทรงมีพระประสงค์เพื่อที่จะขจัดปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง และดินเปรี้ยว ด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำ และระบบชลประทานขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บกักน้ำและจัดสรรน้ำอย่างเป็นระบบ ให้พอเพียงกับความต้องการของกิจกรรมทุกประเภทภายในลุ่มน้ำนครนายกและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่พสกนิกรชาวจังหวัดนครนายกเป็นอย่างสูง
- ความมุ่งมั่นในการทำงาน กว่าจะก่อตั้งโครงการแต่ละโครงการขึ้นมาได้ต้อง จะต้องมีขั้นตอนกระบวนการที่มากมาย เมื่อไปเห็นสถานที่ที่กว้างใหญ่ขนาดนั้นจึงอดคิดไม่ได้ว่าในหลวงต้องเหน็ดเหนื่อยและมุ่งมั่นมากขนาดไหน

นอกจากนี้ยังได้ ทักษะการแก้ปัญหาที่ดี เพราะเขื่อนนี้ก่อตั้งขึ้นมาจากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน แก้ปัญหาภัยหน้าแล้ง และปัญหาดินเปรี้ยว ให้พื้นที่บริเวณนั้นมีความอุดมณ์สมบูรณ์ ให้ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว เราควรแก้ปัญหาอย่างไรให้ตรงจุด และไม่กระทบกระเทือนกับสิ่งอื่น เป็นทักษะที่ใช้ได้เมื่อเกิดปัญหาต่างๆขึ้น

เห็นมั้ยคะว่าการไปเที่ยวครั้งนี้นี่ได้ความรู้มากมายเลย ใครที่เบื่อน้ำทะเล หรือน้ำตกแล้ว ว่างๆ อยากไปเที่ยวก็ขอให้เขื่อนขุนด่านปราการชลเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะคะ เพราะว่าบรรยากาศดีและอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากค่ะ




วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

การเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ครั้งที่1

การเขียนหนังสือนิทานสำหรับเด็กๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ต้องมากหลายขั้นตอนมากๆ ตอนนี้เราก็เริ่มทำแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่ค่ะ เริ่มจากเขียนเค้าโครงของหนังสือกันก่อนเลย

Theme ค่านิยม  12 ประการ : ข้อที่ 7 เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง

ชื่อเรื่อง : เจ้าป่าตัวใหม่

กลุ่มเป้าหมาย : วัยประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-.2 อายุ 6-7 ขวบ)

ประเภทหนังสือ : บันเทิงคดี (ร้อยกรอง)

แก่นของเรื่อง/สาระสำคัญ : การเลือกตั้ง

โครงสร้างเนื้อหา/ความนำและความท้าย : ในป่าใหญ่ที่มีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ ทุกตัวกำลังมุ่นอยู่กับงานของตัวเองไม่มีใครสนใจการเลือกตั้งเจ้าป่าที่ใกล้เข้ามาทุกที ผู้ลงสมัครเป็นเจ้าป่ามีอยู่สองตัวคือ เสือดาวเจ้าเล่ห์ที่ชอบแกล้งสัตว์ตัวอื่นๆและสิงโตผู้น่าเกรงขาม จนเมื่อวันเลือกตั้งมาถึงก็ไม่มีสัตว์ตัวใดมา ทำให้การเลือกตั้งต้องถูกยกเลิก เจ้าเสือดาวเจ้าเล่ห์จึงถือตนเองเป็นผู้ปกครองป่าผืนนี้ เจ้าเสือดาวได้ใช้อำนาจของตนเองกดขี่ข่มเหงรังแกสัตว์ตัวอื่นไปทั่ว จนสัตว์ทุกตัวทนไม่ไหวจึงรวมตัวกันขอร้องให้มีการเลือกตั้งเจ้าป่าครั้งใหม่ เมื่อถึงวันเลือกตั้งครั้งนี้สัตว์ทุกตัวต่างออกมาใช้สิทธ์เลือกตั้งกันอย่างร่วมมือร่วมใจ ผลการเลือกตั้งเป็นเอกฉันท์ สิงโตผู้น่าเกรงขามถูกเลือกให้เป็นเจ้าป่า เมื่อได้รับเลือกสิงโตจึงดูแลสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นอย่างดี สัตว์ในป่าจึงอยู่รวมกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ฉาก : ป่า ที่เลือกตั้ง


ตัวละคร : สิงโต เสือดาว และสัตว์ที่อยู่ในป่า ( กระต่าย ลิง ช้าง ยีราฟ ม้าลาย หนู)

ในส่วนโครงร่างคร่าวๆก็จะเป็นแบบนี้หละค่ะ ที่เราต้องคิดเป็นส่วนแรกในการทำหนังสือนิทาน

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

เปิดประสบการณ์"นักศึกษาไทยในต่างแดน"

ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยนะคะ ว่าทุกอย่างรอบตัวเรานั้นได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งการคมนาคม เศรษฐกิจ รวมถึงวงการการศึกษาด้วย ทุกวันนี้มีนักเรียนนักศึกษาจำนวนมากที่อยากไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะคนที่ถนันทางด้านภาษาในประเทศนั้นๆ วันนี้เราก็เลยนำบทสัมภาษณ์ของ "แนน" นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพา ที่ได้มีโอกาศไปเรียนที่จีน มาแชร์ประสบการณ์ให้ได้อ่านกันคะ



สวัสดีค่ะ แนะนำตัวหน่อยค่า
ชื่อ แนน วิลาสินี อินธิกาย กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพา คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาจีน ปี 3 ค่ะ


ได้ทราบมาว่าแนนได้ไปเรียนต่อที่จีน เลยอยากรู้ว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไรคะ?
เริ่มต้นที่ทางภาควิชาภาษาจีน มีโครงการให้นักศึกษาเอกจีน ที่สนใจอยากจะไปเรียนต่อในประเทศจีน ได้ไปเรียนปีสามที่ประเทศจีน โดยไม่ต้องกลับมาเรียนซ้ำที่ประเทศไทยอีก1ปี แนนก็สนใจนะ เลยปรึกษาทางบ้าน เค้าก็สนับสนุนเลยตกลงไปเลย

ได้ไปเมืองไหนมาคะ สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรบ้าง?
ไปเมืองเวินโจวค่ะ อยู่ที่มณฑณเจ้อเจียง ไม่ใช่เมืองชื่อดังเหมือนพวกปักกิ่งนะค้ะ คล้ายกลับต่างจังหวัดของบ้านเรา สภาพแวดล้อมถือว่าดีมากเลยค่ะ การจราจรไม่แออัดเลย อากาศบริสุทธิ์มากๆ ชอบค่ะ


การเรียนการสอนของที่จีนยากมั้ยคะ แล้วแตกต่างจากที่ไทยอย่างไรบ้าง?
ช่วงที่ไปถึงที่จีนอาทิตย์แรกๆ คิดว่ายากมากสำหรับแนนนะ เพราะแนนเหมือนยังปรับตัวไม่ได้ การพูดของคนจีนแรกๆ ฟังยังงงอยู่เลย แต่ไปซักพักแนนว่าเรียนที่จีนดูง่ายกว่าที่ไทยอีก เพราะอาจารย์ที่จีนเค้ารู้ว่าเราเป็นนักเรียนต่างชาติเค้าก็จะไม่สอนเร็ว ไม่เข้าใจเค้าก็จะอธิบายซ้ำ เหมือนเค้าดูเกรงใจเราด้วย เนื้อหาที่เรียนก็ค่อนข้างเข้าใจง่ายด้วยค่ะ


สิ่งที่ได้รับจากการไปเรียนที่จีน?
ส่วนใหญ่ก็ทางด้านภาษาเลย เพราะเราไปอยู่ที่ประเทศจีนได้ฟัง ได้พูด ได้อ่าน ได้ใช้ชีวิตที่นู้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องพูดภาษาจีน แล้วก็เรื่องการใช้ชีวิตค่ะรู้เลยว่าไปอยู่ต่างประเทศเป็นยังไง แต่แนนถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปอีกค่ะ


แล้วอุปสรรคในการเรียนอยู่ที่นั้นมีอะไรบ้างคะ?
ด้านการสื่อสารค่ะ เพราะอย่างที่บอกช่วงแรกๆแนนปรับตัวไม่ได้ ฟังอาจารย์ไม่ค่อยเข้าใจ  อย่างอยู่ที่ไทยก็มีสอนเป็นไทยบ้าง จีนบ้าง แต่ที่จีนเรียนเป็นภาษาจีนทั้งหมดเลย ก่อนไปเรียนก็ต้องมีเตรียมบทเรียนทุกครั้ง ถ้ามีการบ้านที่ไม่เข้าใจก็จะให้เพื่อนคนจีนช่วยอธิบาย


รู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้างมั้ยคะ เวลาไปอยู่ที่นู้น?
แรกๆท้อมากค่ะ อยากกลับบ้านสุดๆ อาหารก็กินไม่ค่อยได้ ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ แต่อยู่ไปซักพักเริ่มสนุก มีหลายเรื่องให้ลองทำ หลังๆนี่ไม่อยากกลับไทยเลย


ในฐานะที่เราเป็นคนไทยที่ได้มีโอกาสไปอยู่ที่จีน ในสายตาคนจีนมองคนไทยเป็นอย่างไรบ้างคะ?
เวลาไปซื้อของพอเค้ารู้ว่าเป็นคนไทย เค้าจะชมนะว่าคนไทยเวลาพูดสำเนียงเหมือนคนจีน คือฟังง่าย ถ้าเคยได้ยินคนทางแถบยุโรปพูดจีนจะฟังยาก บางคนก็บอกเค้ามีโอกาสอยากไปเที่ยวที่ไทย สถานที่ท่องเที่ยวสวย แล้วก็ชมคนไทยสวย


สุดท้ายนี้ อยากจะฝากอะไรถึงเพื่อนๆที่อยากไปเรียนที่ต่างประเทศบ้างมั้ยคะ?
ถ้าใครมีโอกาสที่จะไปเรียนนะคะ ก็อยากให้ไปเพราะคุณจะได้ประสบการณ์หลายๆ เรื่องที่คุณไม่ได้รับถ้าเรียนที่ไทย รับรองว่าคุณจะสนุกจนไม่อยากกลับไทย

เป็นอย่างไรบ้างคะ? รู้สึกอยากไปเพิ่มมากขึ้นอีกละสิ ฮ่าๆๆ สุดท้ายก็อยากฝากไว้ว่า ถ้าใครที่มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ก็ให้รีบคว้าโอกาสนั้นไว้นะคะ เพราะประสบการณ์แบบนี้แค่ฟังคนอื่นเล่าไม่ได้แต่ต้องไปสัมผัสด้วยตนเองค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โปสเตอร์คุณภาพ "ฮาชิมะโปรเจกต์"

การทำภาพยนต์ออกมาเรื่องหนึ่งนั้นต้องมีการทำงานทั้งในเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และการออกแบบโปสเตอร์ภาพยนต์นั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบมาอย่างดี เพราะว่าตัวโปสเตอร์ภาพยนต์นี้เป็นตัวดึงดูดแรกจากผู้ชม ว่าภาพยนต์เรื่องนี้น่าดูหรือไม่ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นควรจะมีรางวัลสำหรับคนเบื้องหลังในส่วนนี้ ให้ผู้ทำงานเบื้องหลังได้มีกำลังใจ และภาคภูมิใจในฝีมือตัวเอง เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองต่อไปอีก 

หนึ่งในรางวัลสำหรับคนเบื้องหลัง คือ รางวัลการออกแบบโปสเตอร์ภาพยนต์ไทยยอดเยี่ยม สวนดุสิต ไทยมูฟวี่ โปสเตอร์ อะวอร์ดส แล้วประจำปี 2226-2557 โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้วจัดโดยหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฆิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ส่วนในเรื่องของการตัดสินนั้น กรรมการใช้เกณฑ์การตัดสินจากหลายมิติ เช่น การสื่อสารที่ชัดเจน การจัดวางองค์ประกอบ การออกแบบตัวอักษร การใช้โครงสี และการเล่าเรื่อง ฯลฯ โดยรางวัลชนะเลิศในปีนี้นั้นตกเป็นของ โปสเตอร์ภาพยนต์เรื่อง ฮาชิมะโปรเจกต์ จาก M39  พร้อมรางวัลป๊อปปูล่าร์โหวตไปอีก 1 รางวัล



ในวันนี้เราก็จะมาวิเคราะห์กันว่าโปสเตอร์นี้ออกแบบมายังไง ทำไมถึงได้รางวัล เริ่มจากที่คำโปรยเรื่องเลย "ไม่ใช่ที่แรกที่กล้าลบหลู่ แต่เป็นครั้งแรกกับอันดับโลก" ความหมายที่สื่อตรงตัวออกมาว่าหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกของคนไทยที่ไปถ่ายทำหนังผีที่ต่างประเทศนะ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวอย่างกระชับสั้นๆง่ายๆได้ใจความ

การจัดวางองค์ประกอบของภาพนั้นก็ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องราวได้อย่างหนึ่ง จากที่ดูแล้วสามารถตีความได้ว่า หนังเรื่องนี้จะต้องไปถ่ายทำที่เมืองร้าง เป็นตึกเก่าๆที่มีเรื่องลี้ลับอยู่อย่างแน่นอน ภาพที่สื่อออกมานั้นมีความน่ากลัว ความหลอน และเรือนราง มีนักแสดงนำห้าคนและมีผีหนึ่งตัว เรื่องจะต้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของห้าคนนี้ ผ่านการผจญภัยกับสิ่งลี้ลับมาจนเนื้อตัวมอมแมม

การออกแบบตัวอักษรนั้นและเรื่องการใช้โทนสีนั้น แค่ดูชื่อเรื่องอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าต้องเป็นหนังผี เพราะตัวอักษรนั้นมีความหลอน ความน่ากลัวอยู่ในตัวโดยการทำให้ตัวอักษรเลอะๆ เหมือนเปื้อนฝุ่น ตรงคำว่าฮาชิมะนั้นใช้รูปแบบตัวอักษรที่ขาดๆ ตรงปลายคล้ายกับเลือดทำให้ดูน่ากลัวขึ้น โทนสีที่ใช้นั้นคือสีดำและเทาเป็นหลักสื่อถึงความดำมืด สิ่งลี้ลับ ผีสาง ความน่ากลัว และนำสีแดงที่สื่อถึงความกล้าหาญและเลือด มาตัดกันทำให้ชื่อเรื่องดูโดดเด่นขึ้นมาจากโปสเตอร์เป็นอย่างมาก

การที่เราจะเลือกชมภาพยนต์แต่ละเรื่องนั้น โปสเตอร์ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งในการตัดสินใจ บางเรื่องอาจจะดูสนุกสนาน ตลก น่ากลัว ลี้ลับ เข้มข้น ก็แล้วแต่รูปแบบที่ต้องการนำเสนอ ถ้าเราได้เห็นโปสเตอร์สวยๆ สื่อความหมายได้ดี น่าติดตาม ก็ทำให้เรารู้สึกอยากดูภาพยนต์เรื่องนั้นขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นความน่าติดตามของภาพยนต์ก็อาจตัดสินกันได้จากโปสเตอร์เลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www2.dusit.ac.th/sdu/activities/news/2014-06-9/evt_03035.pdf